โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา

ใช่เลย..สำหรับมือใหม่หัดคุม..

                                                                                                                                                  

                                                                                                                                                เภสัชกรหญิงทิพวรรณ วงเวียน

การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะความสะดวกในการใช้ หาซื้อได้ง่าย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับสาวมือใหม่ที่เริ่มเรียนรู้การคุมกำเนิด อาจจะรู้สึกสับสนเล็กน้อย หรือสาวสาวที่เคยกินยาคุมกำเนิดอยู่เป็นประจำลองมาทบทวนดูกันว่า ตัวเองมีความเข้าใจ หรือกินยากันถูกต้องหรือไม่

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะ? ว่าทำไมกินยาคุมแล้วจึงไม่ตั้งครรภ์ ยาคุมมีกลไกไปคุมกำเนิดได้อย่างไร ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดกินเป็นยาที่ป้องกันการตั้งครรภ์ โดยมีฤทธิ์หลักๆ คือยับยั้งการตกไข่ของรังไข่ ในยา 1 เม็ดจะประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ 2 ชนิด คือฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสโตโรน ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนในร่างกาย ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนพื้นฐานของรังไข่ หน้าที่หลักคือทำให้ไข่ในรังไข่เจริญเติบโตไข่จะตกไม่ตกขึ้นกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนของรังไข่ช่วงหลังไข่ตก เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่เตรียมมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวถ้าไม่มีการตั้งครรภ์โปรเจสเตอโรนก็จะค่อยๆ ลดปริมาณลงทำให้เกิดมีเลือดประจำเดือนออกมาทุกเดือน  ดังนั้นเมื่อเรากินยาเข้าไปในร่างกาย ฮอร์โมนทั้งสองชนิดจึงไปทำหน้าที่หลอกระบบภายในร่างกายทำให้

กลไกที่ 1 ยับยั้งการตกไข่ โดยกดการหลังฮอร์โมนในร่างกายป้องกันการเจริญ และการสุกของไข่

กลไกที่ 2 เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเยื่อบุโพรงมดลูก ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อตัวไม่เหมาะต่อการฝังตัว และการเจริญของตัวอ่อน

กลไกที่ 3 ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว เชื้ออสุจิจึงไม่สามารถผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกได้

กลไกที่ 4 ทำลายความสามารถของตัวอสุจิที่จะผสมกับไข่

สรุปก็คือ ยามีฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลายด่าน  ฤทธิ์ของยาจะสามารถป้องกันการตกไข่ได้เต็มที่ภายใน 7 วันนับตั้งแต่เริ่มกินยาดังนั้นเมื่อรอบการตกไข่ปกติจะประมาณวันที่ 14-15บวกลบ 2 วัน นับจากประจำเดือนมาวันแรก ดังนั้นจึงควรเริ่มกินยาภายใน 5 วันนับจากมีประจำเดือนวันแรกจึงจะมั่นใจในประสิทธิภาพการคุมกำเนิดของยา ถ้าเริ่มกินเลยวันที่ 7 ของรอบประจำเดือน เราก็จะไม่มั่นใจการออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ได้ทันหรือไม่ ในกรณีนี้จึงควรคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมไปด้วยจนกว่าจะกินยาครบ 7 วันแล้ว

วิธีการกินยาเม็ดคุมกำเนิด

ถึงแม้ว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงหากใช้ยาถูกต้องและไม่ลืมกินยาอย่างไรก็ตามหากกินยาคุมกำเนิดไม่ถูกวิธีโอกาสในการตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด จึงควรศึกษาวิธีการใช้ยา และการปฏิบัติตนให้เข้าใจเป็นอย่างดีก่อนการใช้ยาปกติแล้วยาคุมกำเนิดจะอยู่ในรูปแบบที่เป็นแผง มี 2 ชนิด คือ แผงละ 21 เม็ด และแผงละ 28 เม็ด ทั้ง 2 ชนิดจะมีตัวยาที่เหมือนกัน 21 เม็ด แต่ชนิดที่เป็นแผง 28 เม็ดจะเป็นยาหลอก หรือวิตามินเพิ่มอีก 7 เม็ด บนแผงแต่ละเม็ดจะมีตัวอักษร วันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ กำกับอยู่ การเริ่มกินก็ให้เริ่มตรงเม็ดที่ตรงกับวันของสัปดาห์วันนั้นที่ตรงต้นๆ แผง แล้วกินเรียงกันไปในแต่ละวัน

ยาคุมกำเนิดชนิดแผง 21 เม็ด

ยา 1 แผง ประกอบด้วยเม็ดยาฮอร์โมน 21 เม็ด ซึ่งเป็นเม็ดยาสีเดียวกันตัวยาเท่ากันทุกเม็ดสำหรับผู้เริ่มกิน :ให้เริ่มกินยาเม็ดใดก็ได้ในแผงตั้งแต่วันที่ 1 ของรอบประจำเดือน (นับวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1) อาจเริ่มกินยาช้ากว่านี้ได้แต่ต้องไม่เกินวันที่ 5 ของรอบประจำเดือน กินยาต่อไปวันละ 1 เม็ด ตามตัวอย่างแนวลูกศรในภาพติดต่อกันทุกวันจนหมดแผง และควรกินยาเวลาเดียวกันทุกวัน (เช่น หลังอาหารเย็น หรือก่อนนอน) หยุดยา 7 วัน ระหว่างหยุดยา 2-4 วัน จะมีเลือดประจำเดือนมา เมื่อหยุดยาครบกำหนด 7 วัน ให้เริ่มแผงใหม่ในวิธีเช่นเดิมโดยไม่ต้องสนใจว่าประจำเดือนจะยังมีอยู่หรือไม่วิธีสังเกต คือ ถ้าเราเริ่มกินแผงแรกที่วันไหน เช่น เริ่มต้นที่วันพุธ แผงต่อไปก็จะเริ่มที่วันพุธเหมือนกัน

ยาคุมกำเนิดชนิดแผง 28 เม็ด

ยา 1 แผง ประกอบด้วยเม็ดยาฮอร์โมน 21 เม็ด และเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมน 7 เม็ด (เม็ดที่ไม่มีฮอร์โมนมักจะมีสี หรือ ขนาดแตกต่างจากเม็ดที่มีฮอร์โมน)สำหรับผู้เริ่มกิน :ให้เริ่มกินยาเม็ดแรกจากยากลุ่มที่มีลักษณะคล้ายกัน 21 เม็ด ในวันแรกของรอบประจำเดือน  อาจเริ่มกินยาช้ากว่านี้ได้แต่ต้องไม่เกินวันที่ 5 ของรอบประจำเดือน โดยกินยาเม็ดแรกในส่วนที่ระบุบนแผงว่าเป็นจุดเริ่มต้นใช้ยา กินยาเวลาเดียวกันติดต่อกันทุกวัน ตามวันกำกับ หรือตามทิศลูกศรจนหมดแผง กินแผงใหม่ต่อได้เลยไม่ต้องหยุดยา ยากลุ่มนี้ต้องกินติดต่อกันทุกวันไปตลอด โดยประจำเดือนจะมาในช่วงที่กินยาเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมน (ระหว่างกินยา 7 เม็ดสุดท้ายของแผง) ถ้าเริ่มกินแบบแผงละ 28 เม็ด ก็ไม่จำเป็นต้องหยุดยา 7 วันเหมือนแบบชนิดแผงละ 21 เม็ด เมื่อกินไปจนถึงส่วนที่เป็นยาหลอก 7 เม็ด จะมีประจำเดือนมาก็ให้กินยาไปเรื่อยๆจนครบแผง แล้วก็เริ่มแผงใหม่ในวันต่อมาเลย

ยาทั้ง 2 ชนิดจะให้ประสิทธิภาพเท่ากัน เพียงแต่ชนิดแผงละ 28 เม็ดต้องกินทุกวันเพื่อจะไม่ลืมกินแผงใหม่หลังจากเว้นแผงเก่า ในระหว่างกินยาคุมกำเนิดประจำเดือนจะมาสม่ำเสมอ และมาน้อยลง คนที่เคยมีอาการปวดประจำเดือนอาจจะทุเลาลง หรือหายปวดได้ถ้ากินยาคุมกำเนิดอย่างถูกต้องจะสามารถคุมกำเนิดได้เกือบ 100% มีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ 0.4% ต่อปี เมื่อกินยาตามที่แนะนำมาดังกล่าวแล้วจะมีเพศสัมพันธ์กันวันไหนก็เรียกได้ว่าไม่มีโอกาสตั้งครรภ์

การปฏิบัติระหว่างการกินยาเม็ดคุมกำเนิด

ถึงแม้ว่ายาคุมกำเนิดจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ดี แต่ประสิทธิภาพของยาอาจลดลงได้หากผู้ใช้ปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การกินยาบางชนิด ดังนั้นผู้ใช้ยาคุมกำเนิดควรศึกษาคำแนะนำในการปฏิบัติตนระหว่างการใช้ยาคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การใช้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด

การปฏิบัติระหว่างการกินยาเม็ดคุมกำเนิด

1. หากมีการอาเจียนหรือท้องร่วงรุนแรงหลายครั้ง ให้ยังคงกินยาตามปกติ แต่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรืองดการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างนั้น และต่อไปอีก 1 สัปดาห์หลังจากอาการดังกล่าวหายแล้ว

2. หากต้องกินยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น เตตร้าซัยคลิน ทีซีมัยซิน ด๊อกซี่ซิลลิน เพนนิซิลลิน อะม๊อกซี่ซิลลิน นอร์ฟล็อกซาซิน โอฟล็อกซาซิน ซิโปรฟล๊อกซาซิน เมโทรนิดาโซนเป็นต้น อาจมีผลลดประสิทธิภาพของ   ยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะการกินยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอยในระหว่างที่ยังกินยาไม่หมดแผง และเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ จึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย

3. หากต้องกินยาไรแฟมปิซินซึ่งเป็นยารักษาวัณโรค อาจทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยาคุมกำเนิดลดลง ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นที่ไม่ใช้ฮอร์โมนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย และต้องป้องกันต่อไปอีกอย่างน้อย 4 สัปดาห์หลังหยุดยาไรแฟมปิซิน

4. หากระหว่างที่ใช้ยาคุมกำเนิด ผู้ใช้มีความจำเป็นต้องใช้ยาชนิดอื่นในช่วงเวลาเดียวกัน ให้ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร

อาการข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิดและการปฏิบัติตัว

1. อาการคลื่นไส้อาเจียน มักพบได้ใน 2-3 แผงแรก แก้ไขได้โดยให้กินยาหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน ถ้าปัญหายังคงอยู่ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรเพื่อเปลี่ยนชนิดยาเม็ดคุมกำเนิด

2. อาการเจ็บคัดเต้านม พบในระยะแรกของการใช้ยา ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมีอาการลดลง หรือหายไปในเวลาต่อมา

3. เลือดออกกระปริบกะปรอย มักพบในผู้ที่ลืมกินยาบ่อยๆ หรือกินยาไม่ตรงเวลา และอาจเกิดได้ในระยะแรกของการใช้ยาเช่นกัน ซึ่งผู้ใช้ควรกินยาอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาเดียวกันในแต่ละวัน

4. การขาดประจำเดือนระหว่างการใช้ยา ควรตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะผู้ที่กินยา   ไม่สม่ำเสมอหรือลืมกินยาบ่อยๆ

5. ผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ น้ำหนักตัวเพิ่ม สิว ฝ้า ผมร่วง ปวดศีรษะ เป็นต้น อาการที่กล่าวมานั้นจะเกิดขึ้นในระยะแรกของการใช้ยา และส่วนใหญ่หายได้เองเมื่อใช้ยาไป 2-3 เดือน แต่ถ้าหากมีอาการมาก หรือเป็นอยู่นานจนเป็นปัญหา หรือเกิดความกังวลใจควรปรึกษาแพทย์หรือ  เภสัชกร ซึ่งอาจแก้ไขโดยการเปลี่ยนชนิดยา ตลอดจนอาจแนะนำให้ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ แทน

กรณีที่ลืมกินยาคุมกำเนิด

– ลืม 1 เม็ด ให้กินทันทีที่นึกได้ และกินเม็ดถัดไปตามปกติ

– ลืม 2 เม็ด ในช่วง 14 เม็ดแรกของแผง ให้กินยาวันละ 2 เม็ด เป็นเวลา 2 วันติดต่อกัน

และกินยาต่อไปตามปกติ และให้ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย หรืองดมีเพศสัมพันธ์ 7 วัน

– ลืม 2 เม็ดในช่วง 14 เม็ดหลังของแผงให้หยุดยาแผงเดิม เริ่มแผงใหม่วันนั้นเลย และใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย หรืองดมีเพศสัมพันธ์ 7 วัน

– ลืม 3 เม็ดหรือมากกว่า ให้หยุดยาแผงเดิม รอให้เลือดประจำเดือนมาก่อนแล้วจึงเริ่มแผงใหม่ในวันที่ประจำเดือนมา และใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย หรืองดมีเพศสัมพันธ์ 7 วัน

สำหรับผู้ที่ลืมกินยาบ่อยๆ ควรเปลี่ยนไปใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ เช่นยาฉีดคุมกำเนิด ห่วงอนามัย เป็นต้นซึ่งจะให้ผลป้องกันการตั้งครรภ์ดีกว่าเพราะไม่ขาดยา แต่จะเลือกใช้วิธีใดนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้วิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด

…………………………………………….