- April 20, 2022
- somdej_admin
- Comment: 0
- อาหารและยา
โรคเอดส์กับการอยู่ร่วมกัน
นางพรเพ็ญ เมธาจิตติพันธ์
คำว่า เอดส์ มาจากภาษาอังกฤษว่า AIDS
ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า Acquired Immuno Deficiency Syndrome ซึ่งแต่ละคำมีความหมาย
ดังนี้
A = Acquired หมายถึง เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด
หรือสืบทอดทางกรรมพันธุ์
I = Immuno หมายถึง ระบบภูมิต้านทาน
หรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง การขาดไปหรือเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการคือมีอาการหลาย ๆ
อย่างไม่เฉพาะที่ระบบใดระบบหนึ่ง
แปลรวมว่า “กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม”
เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี
เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
เสื่อม หรือบกพร่องลง เป็นผลทำให้เป็นโรคติดเชื้อ
หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการมักจะรุนแรง เรื้อรัง และเสียชีวิตในที่สุดเชื้อเอชไอวีเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม
Lentivirus
ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มไวรัส Retrovirus ไวรัสกลุ่มนี้ขึ้นชื่อในด้านการมีระยะแฝงนาน
การทำให้มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือดนาน การติดเชื้อในระบบประสาท
และการทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้ออ่อนแอลง เชื้อเอชไอวีมีความจำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวชนิด
CD4 T lymphocyte และ Monocyte สูงมาก
โดยจะจับกับเซลล์ CD4 และฝังตัวเข้าไปภายใน
เชื้อเอชไอวีจะเพิ่มจำนวนโดยสร้างสายดีเอ็นเอโดยเอนไซม์ Reverse
transcryptase หลังจากนั้นสายดีเอ็นเอของไวรัสจะแทรกเข้าไปในสายดีเอ็นเอของผู้ติดเชื้ออย่างถาวร
และสามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้
เชื้อเอชไอวีทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซท์ ที่มีชื่อว่า CD4 เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ต่ำลง จะทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน
และเกิดอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนในที่สุด
ปัจจุบันในการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่
เราไม่ได้ตรวจหาเชื้อโดยตรง
แต่เป็นการตรวจว่าร่างกายเรามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่
โดยการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี
ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาใหม่ ๆ
เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนองภายหลังการรับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการใดๆ
เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วๆไป เช่น มีไข้ ผื่นตามตัว
ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการมักกินเวลาสั้นๆ และหายไปได้เอง
หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ
เลยเชื้อไวรัสจะส่งผลให้ระดับเม็ดเลืดขาวที่เรียกว่าซีดีโฟร์ลดลงอย่างช้าๆ
จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของเอชไอวีเกิดขึ้น เช่น ฝ้าในปาก ผึ่นคันตามตัว น้ำหนักลด
อัตราเฉลี่ยของประเทศไทยตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มป่วยใช้เวลา
7-10 ปี
ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายแต่ไม่ป่วยเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ยังควบคุม
หรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ เรียกว่า เป็นผู้ติดเชื้อ
และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม
หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้น ๆ
เรียกว่าเราเริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นผู้ป่วยเอดส์
การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอดส์ทำได้ 2 วิธี
1. ตรวจจากแอนติเจน วิธีนี้สามารถทำได้ช่วง 7 – 14 วัน หลังจากมีความเสี่ยง ว่าจะให้ผลบวก หรือลบ เช่น วิธี PCR
แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างจะสูง
2. ตรวจจากแอนติบอดี้ วิธีนี้สามารถทำได้ช่วง 8 สัปดาห์ขึ้นไป หลังจากมีความเสี่ยง ว่าจะให้ ผลบวกหรือลบ
ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า แต่ถ้าจะให้แน่นอน จะต้องหลัง 3 เดือนขึ้นไปจะเชื่อถือได้ดีสุด
หลักการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ดี
เนื่องจากยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีมีผลลดจำนวนเชื้อไวรัสให้น้อยลง
พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวซีดี4
เพิ่มมากขึ้น ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น โอกาสที่จะ
ติดเชื้อโรคฉวยโอกาสก็จะลดลง และสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันยังไม่มียาที่ทำให้หายขาด
ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เริ่มใช้ยาจึงต้องใช้ยาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
เพื่อยับยั้งเชื้อ
ควบคุมไม่ให้เชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้นและจะต้องใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี อย่างน้อย
3 ชนิด เพื่อให้เกิดผลดี
ทั้งยังต้องกินยาตรงเวลาสม่ำเสมอทุกวัน มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาการดื้อยาได้ง่าย
ดังนั้น ก่อนเริ่มใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ผู้ป่วยควรได้มีความรู้ และความเข้าใจเรื่องการใช้ยากลุ่มนี้
อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นวิธีใช้ จำนวนและขนาดของเม็ดยา เวลาที่ใช้ยา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
และมีความพร้อมในการปฏิบัติตามการใช้ยาอย่างถูกต้อง ตรงเวลา และสม่ำเสมอ
ซึ่งสรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้
1. การเริ่มใช้ยาจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
2. ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ต้องมีค่าระดับเม็ดเลือดขาวซีดี4 ต่ำกว่า 350 หรือเมื่อผู้ป่วยเริ่มมีอาการอื่นๆผิดปกติ
อันใดอันหนึ่งของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
3. ผู้ใช้ยาควรมีความรู้และความเข้าใจเรื่องการใช้ยากลุ่มนี้อย่างชัดเจน
และมีความพร้อมปฏิบัติตามการใช้ยาอย่างถูกต้อง ตรงเวลา สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง
4. ต้องใช้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดร่วมกัน
ตามคำแนะนำของแพทย์
5. ผู้ใช้ยาควรมีความรู้ถึงผลดีของการรักษา
และผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพื่อเฝ้าระวัง สังเกต และดูแลตนเองขณะใช้ยา หรือไปพบแพทย์
เมื่ออาการรุนแรงมากขึ้น
การเลือกแพทย์และโรงพยาบาลที่รักษา
ปัจจัยข้อหนึ่งที่ทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จคือแพทย์ผู้รักษาและโรงพยาบาล
ทีมงานทางการแพทย์จะต้องมีคุณภาพ ต้องเข้าใจปัญหาที่ผู้ป่วยต้องประสบอยู่ ต้องวางแผนการรักษา ให้ความรู้ การป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ
การป้องกันผู้อื่นมิให้ได้รับเชื้อจากตัวผู้ป่วย
ผู้ที่ติดเชื้อมักจะมีปัญหาอื่นร่วมด้วย เช่นปัญหาทางด้านจิตใจ
ปัญหาเรื่องยาเสพติด ปัญหาสุขภาพจิต
และปัญหาสังคม ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถปรึกษากับทีมงานที่รักษา
ซึ่งจะต้องมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
เมื่อผลเลือดท่านให้ผลบวกต่อเชื้อ HIV
แสดงว่าท่านได้รับเชื้อไวรัส HIV
ในกระแสเลือดแล้ว
การที่เลือดให้ผลบวกมิได้หมายความว่าท่านเป็นโรคเอดส์ ผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV
โดยทั่วไปใช้เวลา 8-10
ปีจึงจะกลายเป็นโรคเอดส์ เมื่อท่านมีเชื้อไวรัสใน เลือดสิ่งที่ท่านต้องทำคือ
1. ไม่แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น เชื้อ HIV
จะอยู่ในเลือด น้ำเหลือง น้ำนม น้ำหล่อลื่นของผู้ชายและผู้หญิง
ท่านสามารถป้องการแพร่เชื้อโดย
• เมื่อท่านมีเชื้อ
HIV ท่านต้องป้องกันผู้อื่นไม่ให้ได้รับเชื้อจากท่าน เช่น
เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว คู่ที่มีเพศสัมพันธ์ ท่านต้องเรียนรู้การมีเพศสัมพันธ์ที่ลดการติดเชื้อ
กิจกรรมทางเพศชนิดใดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง กิจกรรมใดที่มีความเสี่ยงต่ำ
ให้สวมถุงยางคุมกำเนิดเมื่อจะร่วมเพศทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก
หรือมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
• ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
เพราะท่านอาจจะแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นแล้ว
ท่านอาจจะได้รับเชื้อตัวใหม่ทำให้อาการของท่านแย่ลง
• การกอด
หรือจูบโดยที่ไม่มีแผล การสัมผัสจะไม่แพร่เชื้อ
• ไม่ใช้แปรงสีฟัน
มีดโกนหนวด ที่ตัดเล็บร่วมกัน
• ไม่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง
• ไม่บริจาคเลือดให้แก่ผู้อื่น
• สามารถใช้โถส้วม
การใช้แก้ว ชาม ร่วมกันได้ เพราะไม่ทำให้ติดเชื้อสู่ผู้อื่น
2.การดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
• พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
• ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการรักษาใหม่ๆ
• รับอาหารที่มีคุณภาพ
ปรึกษาแพทย์ว่าอาหารที่ควร และไม่ควรรับประทาน
• ผักผ่อนให้เต็มที่
• งดสุรา
และบุหรี่เพราะจะทำให้ท่านมีภูมิคุ้มกันที่แย่ลง
• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอที่เหมาะสมกับตนเอง
• ให้ทำจิตใจให้ผ่องใส
หางานทำตลอดเวลาไม่ควรจะสัมผัสกับกรง กระบะอาหาร อุจจาระของสัตว์
น้ำสำหรับเลี้ยงปลา หากผู้ป่วยต้องสัมผัสสัตว์จะต้องล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้ง
สัตว์ก็สามารถนำเชื้อไปสู่ผู้ป่วยได้นะคะ…สวัสดีค่ะ
**************************************