โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา

          อุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้ในประเทศไทยพบว่าเพิ่มขึ้น โดยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้พบร้อยละ 25 – 40  โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหืดร้อยละ 10 – 15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ร้อยละ 15  และโรคแพ้อาหารร้อยละ 5  โดยอุบัติการณ์ในเด็กจะสูงกว่าในผู้ใหญ่ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของทารกแรกเกิดนั้นยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ 

โรคภูมิแพ้นั้นถ้าไม่ได้รับการรักษา จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นแย่กว่าคนปกติ เช่น เรียน และทำงานได้ไม่เต็มที่  หากเกิดในเด็กจะทำให้เด็กรู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย หงุดหงิด  ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ  ตามวัยได้อย่างเต็มที่                                                                 

กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุสำคัญ

          ในปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณ ร้อยละ 20 – 50  ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 60 – 80  ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้เลยมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียงร้อยละ 10 – 15  เท่านั้น โดยการป้องกันโรคภูมิแพ้ของลูกสามารถทำได้ตั้งแต่เวลาที่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์เลย

เนื่องจากโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม  และมีการศึกษาที่แสดงว่าสิ่งแวดล้อม และอาหารเป็นปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญของการเกิดโรคภูมิแพ้  ดังนั้นสำหรับเด็กที่เกิดในครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรกำจัดและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองต่างๆ  เช่น ควันบุหรี่ ให้กับลูกตั้งแต่แรก รวมทั้งการให้เด็กดื่มนมแม่จะสามารถป้องกันไม่ให้เด็กเหล่านี้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้มักเกิดร่วมกันหลายชนิด เช่น เด็กที่เป็นผื่นแพ้บริเวณผิวหนังอาจพบว่า   มีการแพ้อาหารร่วมด้วย  ดังนั้นการจัดให้ลูกกินอาหารที่เหมาะสมจะสามารถลดอัตราการแพ้อาหารได้ การดื่มนมแม่หรือนมสูตรพิเศษที่มีการสลายโปรตีนที่ทำให้เกิดการแพ้ เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้

                                                               

เด็กที่มีประวัติครอบครัวที่เสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้

เด็กที่มีประวัติครอบครัวที่เสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมและกินอาหาร ที่มีโปรตีน ซึ่งก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย  โดยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 

          -ควรให้ลูกดื่มนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน และต้องจำกัดอาหารเป็นพิเศษ สำหรับมารดาช่วงระยะตั้งครรภ์และให้นมบุตร เช่น อย่าทานนมวัวมากกว่าก่อนตั้งครรภ์ควรทานเป็นนมถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น

          –  กรณีที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ ควรเลี้ยงลูกด้วยนมสูตรพิเศษจนกระทั่งเด็กมีอายุ 1 ปี

          –  ไม่ควรเลี้ยงบุตรด้วยนมวัว และหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีนมวัวเป็นส่วนประกอบจนกระทั่งเด็กมีอายุ 1 ปี

          –   นมแพะ นมแกะ มีโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้เช่นเดียวกับการแพ้นมวัว

          –  ควรให้อาหารเสริมเมื่อเด็กมีอายุ 6 เดือน โดยแนะนำให้เด็กกินอาหารเสริมทีละชนิด และสังเกตว่ามีการแพ้อาหารที่ให้หรือไม่ภายใน 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะให้อาหารเสริมชนิดใหม่ ควรให้อาหารเสริมที่ทำให้เกิดอาการแพ้น้อย ได้แก่ ข้าวบด กล้วยน้ำว้า ฟักทอง น้ำต้มหมู   น้ำต้มไก่  ผักใบเขียว

          –  ควรหลีกเลี่ยงการกินไข่ขาว และอาหารที่มีไข่ขาวเป็นส่วนประกอบจนกระทั่งเด็กมีอายุ 1 ปี

          –  ควรหลีกเลี่ยงการกินถั่วลิสง และปลาทะเล จนกระทั่งเด็กมีอายุ 1 ปี 

      สำหรับเด็กที่ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ควรดื่มนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน แต่ไม่จำเป็นต้องงดอาหารบางอย่างที่แพ้ง่าย  เช่น  ไข่  ถั่ว  ปลา

สิ่งแวดล้อมดีก็ช่วยป้องกันภูมิแพ้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

สิ่งแวดล้อมที่ดีนั้นสามารถช่วยป้องกันภูมิแพ้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่  ดังนี้ :

          –  ใช้เครื่องเรือนน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนอน

          –  งดใช้พรมปูพื้น ไม่ใช้ที่นอนหรือหมอนที่ทำด้วยนุ่น ขนสัตว์ ควรใช้ชนิดที่ทำด้วยใยสังเคราะห์ หรือฟองน้ำ ควรคลุมที่นอนและหมอนด้วยผ้าพลาสติก หรือผ้าไวนิล หรือผ้าหุ้มกันไรฝุ่น

          –  ไม่สะสมหนังสือ หรือของเล่นที่มีขน

          –  ซักผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่มทุก 1-2 สัปดาห์ โดยใช้น้ำร้อนอุณหภูมิ  60 องศาเซลเซียส อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

          –  ดูดฝุ่น เช็ดถูทำความสะอาดพื้น และเครื่องเรือนเพื่อขจัดฝุ่นละอองเป็นประจำ

          –   ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขน  เช่น  สุนัข  แมว  ภายในบ้าน

          –  พยายามอย่าให้เกิดความชื้น หรือมีบริเวณอับทึบภายในบ้านเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา ไม่ควรนำต้นไม้ ดอกไม้สดหรือแห้งไว้ในบ้าน

          –  จัดเก็บขยะและเศษอาหารให้มิดชิดเพื่อป้องกันและกำจัดแมลงสาบ

ภาพไรฝุ่น