ถาม : สมมติว่าก้าวเท้าพลาดตกบันได ข้อเท้าพลิก มีอาการปวด บวมมาก จะทราบได้อย่างไรว่า กระดูกหักหรือไม่ ?
ตอบ : อาการ และอาการแสดงที่บ่งบอกว่ากระดูกอาจจะหัก มีดังนี้:
– ปวด โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อกดบริเวณกระดูกตาตุ่ม (ด้านใน และ/หรือด้านนอก)
– บวม และ/หรือมีเลือดออกชั้นใต้ผิวหนัง
– ลงน้ำหนักไม่ได้ ลงแล้วปวด
– ขยับข้อเท้าไม่ได้ มีอาการปวดมาก หรือบวมมาก
– ผิดรูป ข้อเท้าบิดเบี้ยวไปจากปกติ (มักจะเกิดจากอุบัติเหตุที่รุนแรง)
ข้อควรระวังในผู้ป่วยที่มีอายุมาก หรือผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วอาจจะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่ายกว่า
ถาม : วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อได้รับการกระทบกระแทก แบบไม่มีแผลเปิด ควรจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : – พัก ควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่มากเกินความจำเป็น
– ใช้ผ้าขนหนูสะอาดห่อน้ำแข็งประคบใน 48 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอุบัติเหตุ (จะช่วยลดอาการปวด
และบวมได้)
– ใช้ผ้ายางยืด (elastic bandage) พัน ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยา (วิธีพันหาอ่านได้จากอินเตอร์เนตครับ)
– กินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ยาต้านอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์
– ยกอวัยวะส่วนที่บาดเจ็บให้อยู่เหนือระดับหัวใจ (เอาหมอนรองใต้ขา หรือแขน)
– พบแพทย์ทันที หากมีการบาดเจ็บที่รุนแรง หรือเกิดในผู้ป่วยสูงอายุ
ถาม : การปฐมพยาบาลเมื่อกระดูกหัก หรือข้อหลุดเคลื่อน มีวิธีอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : – หากกระดูกหักจากอุบัติเหตุรุนแรง เช่น รถชน รถคว่ำ ควรเรียกรถพยาบาล เพราะการเคลื่อนย้าย
ผู้ป่วยที่ไม่ถูกวิธีอาจจะเกิดอันตรายที่ร้ายแรงได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง
ถ้าหากมีเลือดออกจากบาดแผลจะต้องใช้ผ้าสะอาดกดห้ามเลือดก่อน
– หากกระดูกแทงทะลุออกมานอกผิวหนัง ไม่ควรพยายามจัด หรือดึงกระดูกกลับเข้าที่เดิมทันที
เพราะจะเพิ่มความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วย และอาจจะทำให้แผลติดมีโอกาสติดเชื้อมากยิ่งขึ้น
– สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่กระดูกหัก หรือข้อหลุดเคลื่อนคือจะต้องป้องกันไม่ให้มีการ
เคลื่อนไหว โดยการดามด้วยเฝือก หรืออาจใช้ของที่มีความแข็งแทนได้ เช่น ร่ม ท่อนไม้ นิตยสาร
หรือหนังสือพิมพ์ที่นำมาม้วน หากพื้นผิวของวัสดุไม่เรียบให้ใช้ผ้าขนหนู หรือผ้าห่มรองไว้ชั้นในก่อน
– อุปกรณ์ที่ดามควรมีความยาวมากกว่าอวัยวะส่วนที่หักเล็กน้อย ผูกอุปกรณ์ดามด้วยเชือก เนคไท
ผ้าพันคอ ตามแต่จะหาได้ในเวลานั้น ไม่ควรผูกให้แน่นเกินไปเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียน
ไม่สะดวก หากบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ หรือมีอาการชา ให้รีบคลายเฝือกออกทันที
ถาม : แคลเซียมคืออะไร ?
ตอบ : แคลเซียมเป็นเกลือแร่ที่พบอยู่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ประมาณร้อยละ 1.5 ถึง 2 ของน้ำหนักร่างกายโดยรวมในวัยผู้ใหญ่ ฟันและกระดูกเป็นแหล่งที่ประกอบด้วยแคลเซียมมากที่สุดของแคลเซียมที่มีอยู่ทั้งหมดในร่างกาย คิดเป็นประมาณร้อยละ 99 ร่างกายนำแคลเซียมมาใช้ในการสร้างกระดูก เช่นเดียวกับเนื้อเยื่ออื่นๆ ในร่างกาย เนื้อเยื่อกระดูกมีการดูดแคลเซียมกลับคืน และสร้างกระดูกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่มีปริมาณแคลเซียมพอเพียงอยู่ตลอดเวลาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรักษาวงจรนี้ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเวลาของชีวิตที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ระยะเวลาในการตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ถาม : เราจำเป็นจะต้องรับประทานแคลเซียมเสริมหรือไม่ อย่างไร ?
ตอบ : ผมขอแบ่งเป็นตารางเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้:
ช่วงอายุ |
ความต้องการแคลเซียม (มก.ต่อวัน) |
วัยเด็ก |
800-1000 |
วัยหนุ่มสาว |
800-1000 |
วัยกลางคน และวัยสูงอายุ |
1200 |
หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร |
1200 |
ถ้าจะให้นึกภาพออกว่าแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมนั้นมีแค่ไหน ก็อาจใช้ตัวอย่างนมกล่องซึ่งมีแคลเซียมประมาณ 300 มิลลิกรัมต่อกล่อง (ขนาด 250 มิลลิลิตร)
อาหาร |
ปริมาณที่บริโภค |
ปริมาณแคลเซียม (มิลลิกรัม) |
นม |
1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) |
300 |
นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม |
1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) |
250 – 300 |
โยเกิร์ต |
1 ถ้วย |
157 |
นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม |
1 กล่อง (180 มิลลิลิตร) |
106 |
ยาคูลท์ |
1 ขวด |
38 |
เต้าหู้อ่อน |
5 ช้อนโต๊ะ |
150 |
ปลาเล็กปลาน้อยทอด |
2 ช้อนโต๊ะ |
226 |
ปลาซาร์ดีนกระป๋อง |
2 ช้อนโต๊ะ |
90 |
กุ้งแห้ง |
1 ช้อนโต๊ะ |
140 |
หอยนางรม |
6 ตัว |
300 |
ผักคะน้าผัด |
1 ทัพพี |
71 |
ยอดดอกแค |
1/2 ขีด (50 กรัม) |
198 |
ใบยอ |
1/2 ขีด (50 กรัม) |
420 |
บรอคโคลี่ |
2/3 ถ้วย |
88 |
ถั่วแระต้ม |
1 ขีด (100 กรัม) |
194 |
งาดำ |
1 ช้อนโต๊ะ |
132 |
(ข้อมูลจากตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)
ดังนั้น ถ้าจะตอบคำถามที่ว่าเราควรจะรับประทานแคลเซียมเสริมหรือไม่ ก็คงจะขึ้นอยู่กับประเภท
และปริมาณอาหารที่แต่ละคนรับประทานในแต่ละมื้อ แต่ละวัน บางคนอาจได้แคลเซียมเพียงพอ บางคนอาจรู้สึกว่าไม่เพียงพอ และคิดว่าต้องรับประทานเพิ่มแคลเซียมเม็ดดีกว่า อย่างไรก็ตามถ้าท่านซื้อแคลเซียมเสริมก็ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานตามที่ฉลากขวดแนะนำไว้ และไม่จำเป็นจะต้องรับประทานทุกวัน เพราะแคลเซียมเก็บสะสมที่กระดูกได้ หลายคนไม่อยากจะคำนวณปริมาณแคลเซียมในอาหารก็ใช้วิธีดื่มนม 1 กล่อง หรือรับประทานโยเกิร์ต 1 ถ้วยทุกวัน ก็เท่ากับได้รับแคลเซียมประมาณ 25–30% แล้ว ที่เหลือ อีก 70–75% ก็คาดว่าจะได้รับจากอาหารอื่นๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้วนะครับ
คนไทยเราโชคดีกว่าชาวตะวันตกในเรื่องการดูดซึมแคลเซียม จากผลการวิจัยพบว่า คนไทยมีพันธุกรรมที่ทำให้เราสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดีกว่าชาวตะวันตก แต่ถ้าท่านยังต้องการรับประทานแคลเซียมเสริมก็ควรเลือกชนิดเม็ดที่มีราคาไม่แพง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นยาเม็ดฟองฟู่ที่มีราคาสูงครับ
อีกปัจจัยที่มีความสำคัญต่อสมดุลแคลเซียมคือ วิตามินดี ซึ่งมีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เราได้รับวิตามินจาก 2 แหล่ง คือ ได้จากอาหารซึ่งเป็นส่วนน้อยเนื่องจากต้องเป็นอาหารประเภทนม และปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน เป็นต้น อีกแหล่งก็คือ ร่างกายของเราเองสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้โดยอาศัยปฏิกิริยาจากแสงอัลตราไวโอเล็ตในแสงแดดต่อผิวหนัง ดังนั้นเราควรได้รับแสงแดดบ้าง เช่น แสงแดดในช่วงเวลา 8.00-10.00 น. และเวลา 15:00-17:00 น.
** ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (weight-bearing exercise) อย่างสม่ำเสมอ
ควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้งๆ ละ 30นาที โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และวัยหมดประจำเดือน เน้นการออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักแบบไม่หนัก เช่น เดินไกล วิ่งเหยาะๆ รำมวยจีน เต้นรำ
** หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พยายามลดเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ลดลง ระวังการใช้ยาสเตียรอยด์ (ที่อาจอยู่ในรูป ยาชุด ยาสมุนไพร
ยาต้ม ยาลูกกลอน) ซึ่งมีผลจะทำให้เกิดกระดูกพรุนมากขึ้น
ถาม : ถ้ารับประทานแคลเซียมเสริมเยอะไปจะมีโทษหรือไม่ ?
ตอบ : สิ่งใดที่มากเกินไป มากเกินจำเป็นก็ไม่มีผลดีอยู่แล้วครับ โดยทั่วไปร่างกายจะขับถ่ายแคลเซียม ส่วนเกินในอุจจาระและปัสสาวะ แต่ถ้าได้รับแคลเซียมมากเกินไปเป็นเวลานานๆ ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดแคลเซียมสะสมในเนื้อเยื่อต่างๆ รบกวนการทำงานของอวัยวะนั้นๆ อาจมีอาการปัสสาวะบ่อย ท้องผูก เบื่ออาหาร หรือเกิดนิ่วในไตได้
ถาม : วิธีการแก้หลังค่อม ไหล่ห่อ คางยื่น (โดยเฉพาะในวัยรุ่น วัยกลางคน) ทำได้อย่างไร ?
ตอบ : ลักษณะดังกล่าว ทำให้ดูเสียบุคลิก ซึ่งพบมากในคนผอม เกิดจากกล้ามเนื้อด้านหลังตั้งแต่คอหลัง บริเวณช่วงสะบัก หัวไหล่ด้านหลัง อ่อนแรง มีวิธีการจัดการ ดังนี้:
– ลักษณะดังกล่าวต้องไม่ได้เกิดจากโครงสร้างกระดูกที่คดงอผิดปกติ (หากไม่แน่ใจ ให้ปรึกษาแพทย์ครับ)
– จะต้องตระหนัก และรับรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นปัญหาจะทำให้เราเสียบุคลิกภาพ ไม่สง่างาม เป็นสิ่งแรกที่
จะต้องทำ เพราะนั่นจะทำให้จิตใจเรามีการรับรู้ และเป็นแรงผลักดันให้เราออกกำลังกายได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
– ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เน้นที่คอ หลังส่วนบน และหัวไหล่ด้านหลัง
(สามารถศึกษาท่าบริหารเพิ่มเติมได้จากอินเตอร์เนต คำค้นหา “บริหาร แก้ไหล่ห่อ หลังค่อม”)
ถาม : ดัดข้อ แล้วมีเสียงลั่น (ก๊อก! ป๊อก!) ในข้อ หรือเสียงลั่นเวลาขยับ มีสาเหตุมาจากอะไร ?
ตอบ : ข้อที่มักพบมีเสียงลั่นได้บ่อย ได้แก่ ข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก หลัง คอ และกราม
สาเหตุมาจาก ดังนี้:
1. ก๊าซในข้อ น้ำไขข้อ จะมีก๊าซออกซิเจน ไนโตรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อดัดข้อ ฟองก๊าซ
เล็กๆ เหล่านี้ จะถูกบีบให้แตก ทำให้เกิดเสียงลั่นในข้อ ซึ่งถ้าจะทำให้เกิดเสียงดังอีกก็ต้องรอเวลา
สักพัก เพื่อให้เกิดฟองก๊าซเล็กๆ อีก
2. การเสียดสี/การขยับของ เส้นเอ็น เนื้อเยื่อ เมื่อเคลื่อนไหวข้อ ดัดข้อ ก็จะเกิดการเสียดสีของ เส้นเอ็น
กับเส้นเอ็น หรือเส้นเอ็นกับกระดูก เส้นเอ็นอาจเคลื่อนออกจากตำแหน่ง ทำให้ได้ยินเสียงลั่น
สามารถทำซ้ำได้บ่อย เมื่อเคลื่อนไหวข้อก็จะมีเสียงลั่นทุกครั้ง
3. ผิวข้อที่ไม่เรียบ เนื่องจากข้ออักเสบเรื้อรัง หรือข้อเสื่อมก็จะมีกระดูกงอก และมีการสึกหรอของ
กระดูกอ่อนผิวข้อ ทำให้ผิวข้อไม่เรียบ เมื่อเคลื่อนไหวข้อก็จะมีเสียงในข้อ มักจะเป็นคล้ายเสียง
พื้นผิวขรุขระสัมผัสกันครับ
ถาม : เสียงในข้ออันตรายหรือไม่ ?
ตอบ : จากผลการวิจัยพบว่า แบบชนิดที่เป็นจากฟองก๊าซในข้อไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่อาจเกิดการบาดเจ็บ
ของเนื้อเยื่อซึ่งจะทำให้ข้อบวมได้ และบางรายอาจมีอาการกำมือแล้วรู้สึกไม่ค่อยมีแรง
โดยสรุป ถ้าไม่มีอาการ ปวด บวม แดง หรือ ร้อน บริเวณข้อ ก็ถือว่า “ปกติ” ไม่เป็นอันตรายครับ
ถาม : หลังกระดูกหัก เมื่อแพทย์ทำการผ่าตัดใส่เหล็กยึดดามกระดูก จำเป็นต้องผ่าเอาเหล็กออกหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องผ่าเอาเหล็กออกทุกรายซึ่งโดยทั่วไป มีข้อบ่งชี้สำหรับการผ่าเอาเหล็กออก ดังนี้:
– เหล็กที่มีบางส่วนโผล่ออกมาชิดหรือนอกผิวหนัง เช่น ลวดดามกระดูกโดยเฉพาะที่ข้อศอก
และลูกสะบ้า เหล็กดามกระดูกชนิดที่อยู่ด้านนอกผิวหนัง
– เหล็กอยู่ในข้อ หรือขัดขวางการเคลื่อนไหวของข้อ กล้ามเนื้อเส้นเอ็น
– เกิดการติดเชื้อ แผลบวมแดง เป็นหนอง
– เกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดมากบริเวณที่ใส่เหล็กดามเวลาอากาศเย็น ผิวหนังมีผื่นแดง
– แผ่นเหล็กดามกระดูกในบางตำแหน่ง เช่น กระดูกต้นขา กระดูกหน้าแข้ง กระดูกสันหลังบางกรณี
อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง โดยเฉพาะแพทย์ที่ทำการรักษาท่าน และคุยถึงแนวทางร่วมกัน เพราะว่าแนวทางในการรักษาพยาบาลของแพทย์แต่ละคนอาจจะมีวิธี หรือความแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่เชื่อว่าแพทย์ทุกคนก็จะยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางในการรักษาพยาบาล เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วยครับ
ถาม : เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอวัยวะขาดจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : หลักการช่วยเหลือเฉพาะที่ในเบื้องต้นในผู้ป่วยที่อวัยวะขาดคือ **ตั้งสติ และขอความช่วยเหลือ**
1. ต้องห้ามเลือดก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นการขาดบริเวณแขน ต้นแขน ขา จะมีเลือดออกมากจะต้องใช้ผ้า สะอาด เช่น ผ้าขนหนู หรือผ้าก๊อซ จำนวนมากๆ ปิดแผล ใช้แรงกดให้แน่นเพื่อห้ามเลือด
2. ตรวจสอบดูว่าอวัยวะที่ขาดนั้นขาดออกจากตัวผู้ป่วยหรือเปล่า ถ้าขาดออกไปเลยจะต้องมีการเก็บ รักษาที่ถูกวิธี ซึ่งจะกล่าวในอันดับต่อไป ถ้ายังมีเนื้อเยื่อบางส่วนติดกันอยู่ หลังจากห้ามเลือดแล้ว พยายามประคองให้ส่วนที่ขาดไม่ถูกดึงรั้งไปมาเพื่อป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ในขณะนั้น
การเก็บรักษาอวัยวะส่วนที่ขาด
นิ้วขาด แขนขาด มือขาด ขาขาด ใช้ผ้าสะอาดห่ออวัยวะนั้นๆ หลังจากนั้นใส่ลงถุงพลาสติกสะอาด แล้วรัดปากถุงให้แน่น (ไม่ต้องใส่น้ำในถุง!) จากนั้นจุ่มทั้งถุงลงในน้ำที่มีน้ำแข็งอยู่ด้วย เพื่อควบคุมอุณหภูมิ ไม่ให้เย็นจนเกินไป (อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 4 องศาเซลเซียส) ห้ามนำอวัยวะที่ขาดแช่น้ำโดยตรงเด็ดขาด เพราะจะทำให้เซลล์บวมน้ำ และเซลล์ตายได้ ห้ามนำอวัยวะที่ขาด (ที่ใส่ถุงแห้งแล้ว) แช่ในน้ำแข็งที่ไม่มีน้ำปนเด็ดขาด เพราะเนื้อเยื่อจะเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง จะทำให้เซลล์ตายครับ
ถาม : คุณยาย มีอาการ “ปวดเข่าทั้งสองข้าง รู้สึกฝืดๆ เวลาขยับข้อเข่า รู้สึกมีเสียงกรอบแกรบ เข่าก็ดูโก่งๆ เหยียดก็ไม่ตรงเหมือนปกติ” ลักษณะแบบนี้เป็นโรคอะไรหรือเปล่า ?
ตอบ : จากอาการดังกล่าว คุณยายน่าจะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมครับ ซึ่งเป็นภาวะที่ข้อเข่าผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน เกิดการเสื่อม/สึก ของผิวข้อ ทำให้มีการเสียดสีเวลาขยับ หรือเดินจะปวดข้อ อาจมีการผิดรูปของข้อเข่า (เข่ามักโก่งออกจากกัน) โรคข้อเข่าเสื่อมมักพบในผู้สูงอายุ หรืออาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงหลังจากเกิดอุบัติเหตุที่เข่ามาก่อน
อาการ
– อาการปวดเข่า เป็นอาการที่สำคัญ เริ่มแรกจะปวดเมื่อยตึงด้านหน้า และด้านหลังของเข่าหรือบริเวณน่อง
เมื่อเป็นมากจะปวดเข่าเมื่อเคลื่อนไหว ลุกนั่ง หรือเดินขึ้นบันไดไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม
– มีเสียงในข้อเมื่อเคลื่อนไหวผู้ป่วยจะรู้สึกมีเสียงในข้อ ลักษณะคล้ายเสียงพื้นผิวไม่เรียบถูกัน มักเป็น ตลอดช่วงการงอ หรือเหยียดเข่า
– อาการบวม ถ้าข้อมีการอักเสบก็จะเกิดข้อบวมได้
– ข้อเข่าโก่งงอ อาจจะโก่งด้านนอก หรือโก่งด้านใน ทำให้ขาสั้นลงเดินลำบาก และมีอาการปวด เวลาเดิน
– ข้อเข่ายึดติด ผู้ป่วยจะไม่สามารถเหยียดตรง หรืองอเข่าสุด เหมือนเดิมเพราะมีการยึดติดภายในข้อ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อเสื่อม
– อายุ ถ้าอายุมากมีโอกาสเป็นมาก หรือเสื่อมตามวัยนั่นเอง
– เพศ ผู้หญิงจะเป็นโรคเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า
– น้ำหนัก ถ้าน้ำหนักตัวยิ่งมากข้อเข่าก็จะเสื่อมเร็ว ทางที่ดีควรควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
– การใช้ข้อเข่า ผู้ที่นั่งยองๆ นั่งขัดขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบนานๆ จะพบว่าเป็นข้อเข่าเสื่อมเร็ว
– การได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะบริเวณข้อเข่า ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุที่ข้อเข่าไม่ว่าจะกระดูกข้อเข่าแตก
หรือเอ็นฉีก จะเกิดข้อเข่าเสื่อมได้
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมจะมี 2 วิธี ดังนี้:
1. แบบไม่ผ่าตัด
– การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
-
-
- ปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเข่าเสื่อม เช่น การยกของหนัก การนั่งพับเพียบ การนั่งยองๆ การนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ การใช้ส้วมชนิดนั่งยองๆ หลีกเลี่ยงการขึ้นบันไดบ่อยๆ ควรนั่งเก้าอี้ และไม่ควรนั่งบนพื้น
- การลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ลดอาการปวดเข่า และช่วยชะลอเข่าเสื่อมได้
- การออกกำลังกาย และการบริหารกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขา
- เวลาขึ้นบันไดให้ก้าวขาข้างที่ไม่ปวดนำขึ้นไปก่อน เวลาลงให้ก้าวเท้าข้างที่ปวดลงก่อน มือจับราวบันไดทุกครั้ง
-
– การทำกายภาพบำบัด
– การใช้อุปกรณ์ ช่วยค้ำยัน เช่น ไม้เท้า
– การใช้ยา
-
-
- พาราเซตามอล ยาต้านอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์
- การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ (ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง)
- การฉีดสารหล่อเลี้ยงเข้าข้อเข่า (ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง)
- การให้ยาช่วยสร้างผิวข้อ (กลูโคซามีน คอนดรอยติน ซัลเฟต) จากการวิจัยพบว่า อาจช่วยเรื่องลดอาการปวด แต่ไม่ช่วยชะลอความเสื่อมของโรค
-
2. การผ่าตัด มีหลายแบบ โดยการผ่าตัดหลักๆ ที่ให้ผลดี ได้แก่ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม
ถาม : ผู้ป่วยหญิงอายุ 30 ปี ทำงานโรงงาน สองสัปดาห์ที่ผ่านมารู้สึกนิ้วนาง ปวดตึงๆ แข็งๆ งอเหยียด
มีสะดุด ลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นโรคอะไร ?
ตอบ : อาการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นโรคนิ้วล็อคครับ ซึ่งโรคนี้เกิดจากเนื้อเยื่อเส้นเอ็นที่ใช้ในการงอนิ้วมือ มีการอักเสบหนาตัว หรือเป็นตุ่มขึ้น เมื่อมีการขยับจะมีการเสียดสี หรือสะดุดกับเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ เส้นเอ็น
สาเหตุ ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่จากข้อมูลการศึกษาพบว่า
– ผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชาย
– เกิดบ่อยในช่วงอายุ 30-60 ปี
– สัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูห์มาตอยด์
– มักจะเกิดหลังมีกิจกรรมที่ต้องออกแรงที่นิ้วมือ เช่น ซักผ้า ยกของหนัก
อาการ
– มีอาการปวด กดเจ็บที่บริเวณโคนนิ้ว ด้านฝ่ามือ
– อาการสะดุด อาการปวดเวลางอเหยียดนิ้ว
– อาจมีอาการบวม
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
– พัก งดการใช้งานนิ้วมือ
– กินยาต้านอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์
– ฉีดยาสเตียรอยด์ (แนะนำไม่ควรทำเกิน 2-3 ครั้ง)
การรักษาแบบผ่าตัด
มีหลายวิธี วิธีมาตรฐานในปัจจุบันได้แก่ การผ่าตัดเปิดหรือส่องกล้องเพื่ออตัดเนื้อเยื่อที่รัด เส้นเอ็นออก อาการสะดุด หรือปวดก็จะดีขึ้นทันทีหลังผ่าตัด
ถาม : ผู้ป่วยชายที่มีอายุ 30 ปี มีอาการปวดหลัง ร่วมกับชาร้าววิ่งลงขาขวา เกิดหลังจากการก้มยกของหนัก ลักษณะแบบนี้เป็นอะไร ?
ตอบ : อาการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทช่วงเอวครับ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงาน พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงหลักเกิดจากการยกของหนักที่ผิดท่า การนั่งนานๆ ถูกกระแทกซ้ำๆ และการสูบบุหรี่
หลังจากแพทย์ตรวจวินิจฉัยแล้ว ส่วนมาก 9 ใน 10 คน รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดมีตั้งแต่ผ่าแบบธรรมดา แบบใช้กล้องที่มีกำลังขยายช่วย และแบบส่องกล้อง
ข้อบ่งชี้ของการรักษาแบบผ่าตัด
1. รักษาแบบไม่ผ่าตัดแล้วไม่ดีขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง
2. อาการชา หรืออ่อนแรงเป็นมากขึ้นกว่าเดิม
3. มีอาการกลั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่ได้
ดังนั้น เมื่อท่านมีอาการปวดหลัง และร้าวลงขาเป็นเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาก่อนที่จะมีอาการปวดมากขึ้น ถ้าหากหมอนรองกระดูกเกิดการเสียหายมากขึ้นจะทำให้ยากต่อการรักษาพยาบาลมากตามไปด้วย การป้องกันโรคหมอนรองกระดูกช่วงเอวมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้:
1. การใช้กล้ามเนื้อบริเวณหลังในชีวิตประจำวันอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ถ้าจะยกของหนัก จะต้องใช้แรงจากขาช่วยไม่ควรก้มหลังแล้วใช้กล้ามเนื้อหลังเป็นหลัก ซึ่งถ้าทำเช่นนี้จะทำให้มีโอกาส เกิดหมอนรองกระดูกปลิ้นได้ และที่สำคัญคือน้ำหนักของที่จะยกจะต้องไม่มากเกินกำลังของร่างกาย
2. หลีกเลี่ยงการนั่ง ยืน เดิน เป็นระยะเวลานานๆ ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ในแต่ละวัน ซึ่งจะทำให้ หมอนรองกระดูกไม่มีแรงกระแทกซ้ำๆ บริเวณที่เดิม
3. ลดน้ำหนักให้สมดุลกับร่างกาย
4. จะต้องงดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด
5. ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อหลัง และหน้าท้อง เพื่อให้กล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังแข็งแรง และควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละท่านด้วย….นะครับ
———————————————–