การคุมกำเนิดมีด้วยกันหลายวิธีแต่ละวิธีก็มีข้อเด่น–ข้อด้อยที่แตกต่างกันไป ถ้าท่านจะทำการคุมกำเนิดจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม ความปลอดภัย และได้ผลดีที่สุดสำหรับท่าน ซึ่งลองมาพิจารณาและวิเคราะห์กันนะคะว่าท่านจะเลือกวิธีใดดังต่อไปนี้
ยาเม็ดคุมกำเนิด
การกินยาเม็ดคุมกำเนิด เป็นวิธีคุมกำเนิดที่ใช้กันมากที่สุด มีความปลอดภัยสูง มีภาวะแทรกซ้อนต่ำ หาซื้อง่าย มีตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคาแพง มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดีถ้ากินอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ บางชนิดมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย ช่วยลดสิว ฝ้า หน้ามันได้ บางชนิดทำให้หน้าอกโตขึ้นได้
ข้อดี–ข้อด้อย หลายท่านที่กินยาคุมกำเนิดแล้วอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดหัว อ้วน ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า “แพ้ยาคุม” ซึ่งมักพบในยาคุม รุ่นแรกที่มีปริมาณฮอร์โมนสูง ยาคุมรุ่นใหม่มักมีปริมาณฮอร์โมนที่ต่ำลง แต่ยังคงประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ดี แต่ก็มีราคาแพงกว่ารุ่นแรกมาก ข้อด้อยของยาคุมชนิดที่มีฮอร์โมนต่ำก็คืออาจมีปัญหาเรื่องเลือดออกกะปริบกะปรอยได้ในบางท่าน ในคุณแม่ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น ปวดหัว ไมเกรน โรคตับ เนื้องอกของเต้านม เนื้องอกของระบบสืบพันธุ์ซึ่งไม่ควรกินยาคุมชนิดนี้ เพราะฮอร์โมนจากยาคุมอาจจะทำให้เนื้องอกโตขึ้นได้
คุณแม่ที่กินยาคุมมีโอกาสพลาดทำให้ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 4% ต่อปี ที่พลาดก็มักเกิดจากตัวคุณแม่เอง ซึ่งอาจจะลืมกิน หรือกินๆ หยุดๆ หรือกินไม่ตรงเวลา เพราะยาคุม 1 เม็ด จะออกฤทธิ์ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเพื่อป้องกันการสะสมยาคุมในระยะยาว ในร่างกาย ดังนั้นการกินไม่ตรงเวลาก็จะทำให้พลาดและท้องได้ ถ้ากินอย่างถูกต้อง ตรงเวลา สม่ำเสมอ ผลการคุมกำเนิดก็จะทำให้ได้ผลเกือบ 100%
ยาฉีดคุมกำเนิด
หนึ่งทางเลือกของคุณแม่ให้นมลูก การฉีดยาคุมเป็นที่นิยมอันดับสองรองจากการกิน ยาคุม มีประสิทธิภาพดี โอกาสพลาดมีน้อยมาก ถ้าหากฉีดตรงเวลา เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ให้ลูกกินนมแม่ เพราะไม่มีผลต่อคุณภาพและปริมาณของน้ำนม ยาฉีดคุมกำเนิดจะเริ่มฉีดภายใน 4 สัปดาห์หลังคลอด ถ้าฉีดช้ากว่านี้ก็อาจจะไม่ได้ผลดี เพราะคุณแม่ไม่ได้ให้ลูกกิน นมแม่ ซึ่งอาจจะมีไข่ตกเร็ว การฉีดยาคุมแต่ละครั้งสามารถคุมกำเนิดไปได้นาน 12 สัปดาห์ ฉีดครั้งต่อไปควรฉีดตามกำหนดที่แพทย์นัด ถ้าหากลืม หรือไม่ว่างก็ไม่ควรเกินวันนัด ภายใน 2 สัปดาห์
ข้อดี–ข้อด้อย บางท่านอาจมีปัญหาประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ มีประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์
ที่ไม่มีประจำเดือนมาเลย อีก 25 เปอร์เซ็นต์มีประจำเดือนมากะปริบกะปรอยตลอด บางครั้ง ก็อาจมีเลือดออกทั้งเดือน แต่ถ้าเลือดออกมากและออกนานจนมีผลต่อสุขภาพขอแนะนำว่าควรเปลี่ยนไปคุมวิธีอื่นน่าจะได้ผลดีกว่า คุณแม่ที่ฉีดยาคุมแล้วไม่มีประจำเดือนมา แต่พอหยุดฉีด ยาคุมประจำเดือนก็จะกลับมาเป็นปกติ และสามารถตั้งครรภ์ได้ก็จะต้องใช้เวลาประมาณ 4 – 6 เดือนหลังหยุดฉีดไปแล้ว ข้อด้อยอีกประการคือฝ้าขึ้นง่ายเวลาโดนแดดจัดๆ เพราะเม็ดสีผิวใต้ผิวหนังจะมีความไวต่อแสงมากขึ้นกว่าปกติค่ะ
ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง
ยาคุมชนิดฝังลักษณะจะเป็นแท่งซิลิโคนเท่าหลอดยาคูลท์ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ตัวยาที่บรรจุข้างในเป็นยาชนิดเดียวกันกับยาคุมกำเนิดแบบฉีด แต่เอายานี้มาฝังไว้ใต้ท้องแขนท่อนบน ตัวยาก็จะค่อยๆ ปล่อยออกมา มีผลคุมกำเนิดได้นาน 3–5 ปี แล้วแต่ละชนิดและจำนวนหลอด พอครบกำหนดก็ต้องผ่าเอาออก หรือเปลี่ยนเอาชุดใหม่ใส่เข้าไปแทน เพราะเป็นยาคุมแบบเดียวกับยาฉีด คือทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติเหมือนกัน
ห่วงคุมกำเนิด
ห่วงคุมกำเนิดเป็นพลาสติกซิลิโคน แกนกลางจะมีขดลวดทองแดงพันอยู่ ซึ่งจะสอดเข้าไปในมดลูกผ่านทางช่องคลอด หลังจากนั้นไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษเพียงแค่ไปตรวจภายใน ตรวจห่วงตามที่คุณหมอนัดก็เพียงพอแล้ว การใส่ห่วงแต่ละครั้งจะใช้ได้นานประมาณ 5 ปี ไม่ต้องกินไม่ต้องฉีด โอกาสพลาดก็พอๆ กับยาคุมแบบฉีด ข้อด้อยคือบางท่านอาจมีประจำเดือนมามากกว่าปกติ และอาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอยในระหว่างรอบได้ บางท่านอาจมีอาการปวดประจำเดือนมากกว่าเดิม อาการเหล่านี้มักเป็นในช่วง 3 เดือนแรกของการใส่ห่วง หลังจากนั้นอาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ
จากการที่ใส่ห่วงคุมกำเนิดแล้วอาจมีปัญหาประจำเดือนมามาก หรือมากะปริบกะปรอย วงการแพทย์ก็ได้มีการพัฒนาห่วงชนิดใหม่ขึ้น คือห่วงคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมน ห่วงคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนจะมีแกนกลางเป็นทองแดงเหมือนห่วงปกติ หลอดพลาสติกบรรจุฮอร์โมนคล้ายๆ กับยาฝัง ฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยทำให้ประจำเดือนไม่มามาก และไม่กะปริบกะปรอย บางท่านอาจไม่มีประจำเดือน
การทำหมันถาวร
ถ้าบางท่านคิดว่ามีลูกเพียงพอและแน่นอนแล้ว ก็อาจตัดสินใจทำหมันถาวร ซึ่งไม่ต้องพะวงกับการกินยาคุม ฉีดยาคุม ใส่ห่วง หรือคุมแบบธรรมชาติ การทำหมันจะทำให้เป็นหมันอย่างถาวร ถ้าหากเปลี่ยนใจที่จะมีลูกก็จะต้องไปผ่าตัดแก้หมันใหม่อีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนทำหมันทำเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น แต่เวลาแก้หมันจะต้องผ่าท้องใหม่ และแก้ยากกว่า ใช้เวลาในการผ่าตัดนานมาก ซึ่งทางการแพทย์จะยืนยันเสมอว่าการทำหมันไม่ได้มีผลอะไรต่อสุขภาพ ไม่มีผลต่อความรู้สึกทางเพศแต่อย่างใด ทางที่ดีก่อนที่ท่านจะตัดสินใจทำหมันถาวร ครั้งแรกควรไปปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะคุณแม่แต่ละท่านก็จะมีความเหมาะสมแตกต่างกัน มีภาวะแทรกซ้อนไม่เหมือนกัน แต่ก็มีข้อสรุปว่าถ้าหากคุมกำเนิดวิธีไหนที่ชอบ หรือใช้แล้วไม่มีปัญหา ไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่อตนเอง ก็ควรคุมกำเนิดวิธีนั้นๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ควรเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามคนอื่น เพราะอาจจะไม่เหมาะสมกับเราและมีผลเสียต่อสุขภาพของตัวท่านเองได้ในอนาคตนะคะ……สวัสดีค่ะ
……………………………….